Pages

 


Clear@Soft PINK ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและปัญหาจากสิวโดยเฉพาะ



Clear@Soft PINK ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้าและปัญหาจากสิวโดยเฉพาะ


Cleara Soft Pink เคลียร์ รา ซอร์ฟ พิงค์ 30เม็ด (ผลิตภัณฑ์นี้ผ่าน อย. อย่างถูกต้อง)

               ผิวขาวอมชมพู กระจ่างใสไร้สิว แก้ไขปัญหาสิวครบทุกขั้นตอน ยิ้มรับผิวขาว กระจ่าส เคล็ดไม่ลับ เพื่อหน้าใสไร้สิว
- ช่วยลดสาเหตุของการเกิดสิว
- ช่วยทำให้ สิวอักเสบแห้งเร็ว
- ช่วยลดรอยแดง และจุดด่างดำจากสิว
- ช่วยปรับสภาพผิว ให้ขาวอมชมพู
คุณประโยชน์หลักๆ คือ

1.ลดสาเหตุของการเกิดสิว
จมูกถั่วเหลือง ( Soy germ)
มีสารสำคัญชื่อ Isoflavone มีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตเจน จึงช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน ลดการเกิดสิวที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล
ออฟติซิงค์ (Optizinc)เป็นลิขสิทธิ์ของบริษัท Interhealth ประเทศสหรัฐอเมริกาให้แร่ธาตุซิงค์ (สังกะสี) ที่ช่วยลดการอักเสบ และติดเชื้อของสิว ช่วยให้แผลที่เกิดจากสิวหายเร็วขึ้น สร้างเนื้อเยื่อใหม่ ซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียไปจากการศึกษาพบว่า การได้รับซิงค์ วันละ 45 มก. สามารถลดการเกิดสิว และลดการอักเสบของสิวได้ถึง 70%

แร่ธาตุสังกะสี (Optizinc)
มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของฮอร์โมน เนื่องจากสังกะสีเป็นแร่ธาตุที่ร่างกายจำเป็นในการสร้างฮอร์โมนเพศ ช่วยลดการเกิดสิวอุดตันได้

2. ช่วยให้สิวอักเสบแห้งเร็ว
แร่ธาตุสังกะสี (Optizinc)
เป็นแร่ธาตุที่ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ทำให้การซ่อมแซมเซลล์ผิวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สิวอักเสบจึงแห้งและหลุดง่าย

แอล-ไลซีน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายใช้ในการสร้างเนื้อเยื่อ ได้แก่เซลล์ผิวใหม่ ทำให้กระบวนการซ่อมแซมเซลล์ผิวและการสร้างผิวใหม่เกิดขึ้นเร็วการอักเสบของสิวจึงหายเร็วขึ้น

สารสกัดจากชาเขียว , วิตามินเอ และวิตามินอีมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ มีส่วนช่วยให้สิวอักเสบแห้งเร็วขึ้น

3. ลดรอยแดงและจุดด่างดำจากสิว
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าเคโรทีน มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และกระตุ้นการไหวเวียนโลหิตบริเวณเซลล์ จึงลดการเกิดรอยแดงและจุดด่างดำจากสิวได้

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น แอคติวิน (ACTIVIN)
สารสกัดจากเมล็ดองุ่น มีคุณสมบัติเป็นสารซุปเปอร์แอนตี้ออกซิแดนท์ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการกำจัดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นปัญหาของการเกิดสิว พร้อมทั้งช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน และอีลาสติน ทำให้ผิวหน้าเนียนใสดูเปล่งปลั่ง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น เมื่อรวมกับวิตามินซี และวิตามินอี จะมีคุณสมบัติพิเศษช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของวิตามินซีและวิตามินอี ในการกำจัดอนุมูลอิสระให้ดียิ่งขึ้น
วิตามินซี (Vitamin C)
ช่วยลบรอยดำคล้ำของแผลเป็นที่เกิดจากสิว โดยสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติและยังช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้าขาวใส ไร้รอยแผลเป็น
วิตามินอี (Vitamin E)
มีประสิทธิภาพในการสมานผิวเพื่อรักษาแผลที่เกิดจากสิว ทำให้แผลหายเร็วขึ้น และไม่เป็นแผลเป็นรวมทั้งช่วยให้ผิวหน้ามีความยืดหยุ่น เนียนนุ่ม ชุ่มชื้น
เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene)
ช่วยปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV ที่มากับแสงแดด ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวถูกทำลายและยังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดสิวมากขึ้น

3. ปรับสภาพผิวให้ขาวอมชมพู กระจ่างใสไร้สิว

แอล-กูลต้าไธโอน
มีความสามารถยับยั้งการสร้างเมลานินเม็ดสีซึ่งเป็นสาเหตุของกระ ฝ้า จุดด่างดำ โดยยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซีเนส ทำให้ผิวค่อยๆ ขาว กระจ่างใสขึ้น

สารสกัดจากมะเขือเทศ , สารสกัดจากชาเขียว,สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ช่วยในการกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตบริเวณเส้นเลือดฝอย จึงช่วยปรับสภาพผิวให้แลดูขาวอมชมพู รวมถึงมีฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และช่วยต่อต้านริ้วรอย และความหมองคล้ำ เผยผิวเนียนใส

กรดอัลฟ่า ไลโปอิก, วิตามินซี, วิตามินอี และเบต้าเคโรทีนด้วยประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง ช่วยในการทำงานของแอล-กูลต้าไธโอน ทำงานได้ดีขึ้น จึงปรับสภาพผิวให้ขาวอมชมพูเร็วขึ้น จึงเห็นผลได้อย่างชัดเจน
เหมาะสำหรับ : ผู้ที่มีปัญหาในเรื่องสิว ต้องการลดรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว และป้องกันการเกิดสิว
วิธีการรับประทาน
รับประทานละ วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
ในกรณีเป็นสิวอักเสบ รับประทานครั้งละ 1 เม็ด
หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
จากราคาปกติ 580  บาท แต่ขายเพียง 450 บาทจ้า (ไม่รวมค่าจัดส่ง)
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 082-4454791 หรือ bojung_28@hotmail.com



user posted image   user posted image   user posted image
^ข้าวผัดกิมจิ^
อาหารจานด่วนสไตล์เกาหลีแบบง่ายที่สามารถทำได้ด้วยตัวคุณเอง

 

  กิมจิ เกาหลี: 김치, MC: Gimchi, MR: Kimch'i มีข้อสันนิษฐานกันว่าน่าจะเพี้ยนมาจากคำว่า "ชิมเช" (เกาหลี: 침채, ฮันจา: 沈菜, MC: chimchae, MR: ch'imch'ae ที่แปลว่าผักดองเค็ม กิมจิเป็นอาหารเกาหลีประเภทผักดองที่อาศัยภูมิปัญญาก้นครัวของชาวเกาหลี ด้วยการหมักพริกสีแดงและผักต่างๆ โดยทั่วไปจะเป็นผักกาดขาว ชาวเกาหลีนิยมรับประทานกิมจิเกือบทุกมื้อ และยังนำไปปรุงเป็นส่วนประกอบอาหารอีกหลายอย่าง เช่น ข้าวต้ม ข้าวสวย ซุป ข้าวผัด สตู บะหมี่ จนถึงพิซซ่า และเบอร์เกอร์ ปัจจุบันกิมจิมีมากกว่า 187 ชนิด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะมีรสเผ็ด เปรี้ยว และมีกลิ่นฉุน แม้ปัจจุบันมีบริษัทอาหารผลิตกิมจิสำเร็จรูปหรือแบบสดขายตามห้างสรรพสินค้าก็ตาม แต่ชาวเกาหลีก็ยังนิยมทำกิมจิกินเองที่บ้าน ส่วนในเมืองไทยก็หาได้ไม่ยากเพราะตอนนี้ส่วนใหญ่จะหาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตตามห้างดังๆ ได้เช่นกัน
  และวันนี้ดิฉันก็มีเมนูง่ายๆ มาแนะนำให้เพื่อนๆ ลองไปทำรับประทานเป็นอาหารจานเดียวที่นำกิมจิมาประยุกต์ใช้เป็นส่วนผสมในการทำอาหาร คือ " ข้าวผัดกิมจิ"



ข้าวผัดกิมจิ



ส่วนผสม
  1. ข้าวสวย
  2. กิมจิผักกาดขาว
  3. ฮอทด็อกและแฮม
  4. ไข่ไก่
  5. ต้นหอมและผักชี
  6. ผักกาดดองสามรส
  7. เครื่องปรุง คือ ซีอิ๋วขาว น้ำตาลทราย น้ำมันงา เหล้าจีน ซอสสุกี้แบบใส่เต้าหู้ยี้
วิธีการทำ
  1. ขั้นตอนแรกตั้งกระทะให้ร้อนและใส่น้ำมันงาลงไปเล็กน้อย หลังจากนั้นนำฮอทด็อกและแฮมที่หั่นเป็นชิ้นพอคำลงไปพร้อมตอกไข่ไก่ลงผัดให้สุก
  2. นำข้าวสวยที่ทิ้งให้เย็นก่อนลงไปผัดตามและในขั้นตอนนี้ก็ใส่กิมจิผักกาดขาวซึ่งเป็นพระเอกของเมนูนี้ลงไปและผัดให้สุก
  3. ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๋วขาว เหล้าจีนและสุกี้แบบใส่เต้าหู้ยี้ได้รสชาดตามใจชอบ หลังจากนั้นก็ตักโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยและผักชีใส่จานพร้อมเสิร์ฟ
  4. ในขั้นตอนการรับประทานสามารถนำผักกาดดองสามรสมาทานเป็นเครื่องเคียง


ส่วนผสมในการทำข้าวผัดกิมจิ



ข้าวผัดกิมจิที่ผัดเสร็จแล้วพร้อมตักใส่จาน




ข้าวผัดกิมพร้อมรับประทานกับเครื่องเคียงคือผักกาดดองสามรส

    ^ ^สุดท้ายขอฝากให้เพื่อนๆ ถ้ามีเวลาว่างก็ลองไปทำทานก็ได้นะคะ เพราะเมนูนี้เป็นอาหารจานด่วนจานเดียวที่มีประโยชน์มากกว่าอาหารฟาสฟู๊ดสไตล์ฝรั่งที่มีขายทั่วไป...^^




Icon & Display MSN    Icon & Display MSN    Icon & Display MSN    Icon & Display MSN   

จาจังเมียน...หมี่ดำท็อปฮิตของชาวเกาหลี

 

 

 

 
         จาจังเมียนหรือหมี่ดำในซอสถั่วดำซึ่งว่ากันว่าจาจังเมียนนั้นถือกำเนิดขึ้นจากคนจีนในเกาหลี ที่เมืองอินชอน ซึ่งเป็นเมืองท่าที่มีแรงงานจีนมาทำงาน ตั้งแต่ปี 1883 สมัยโจซอนซึ่งก็ได้ฉลองวาระครบร้อยปีของอาหารจานนี้กันไปแล้ว คนงานจีนเหล่านี้จะกินก๋วยเตี๋ยวที่ใส่ซอสจากถั่วดำและส่วนใหญ่และโดยส่วนใหญ่จาจังเมียนจะขายอยู่ในร้านอาหารจีนแบบเกาหลีหรือร้านอาหารเกาหลี และจาจังเมียนก็สามารถหาได้นั้นก็หากินได้ง่ายที่เกาหลีและเป็นอาหารท็อปฮิตสุด ซึ่งเพื่อนๆสังเกตได้จากซี่รี่เกาหลีที่พระเอกนางเอกจะชอบสั่งจาจังเมียนแบบเดลิเวอรี่มาทานด้วยกันซึ่งความนิยมในการทานจาจังเมียนของชาวเกาหลีนี้ ทำให้รัฐบาลเกาหลีถึงกับเลือกให้เป็นหนึ่งในร้อยสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเกาหลี และมีวันพิเศษที่จะกินจาจังเมียนก็คือวันจบการศึกษาค่ะ ส่วนอีกวันหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือวันแบลค์เดย์ ซึ่งตรงกับในที่ 14 เมษายน วันนี้คิดขึ้นมาเพื่อเป็นวันสำหรับคนโสดไร้คู่ทั้งหลาย เส้นของจาจังเมียนจะเป็นเส้นที่ทำมาจากแป้งสาลี แต่ก่อนจะเป็นการทำด้วยมือแบบจีนที่ใช้สองแขนดึง แล้วฟาด แล้วทบแล้วดึงจนกลายเป็นเส้น แต่เดี๋ยวนี้เส้นจาจังเมียนแบบกึ่งสำเร็จรูปก็สามารถหาได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตในประเทศไทยที่นำเข้าสินค้าจากเกาหลี เช่นห้างเจ้เล้ง แถวย่านดอนเมือง ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ

 

 

 
จาจางเมียน

 

 
      และวันนี้ดิฉันก็ขอนำเสนอเมนูจาจังเมียนที่สามารถทำทานได้เองที่บ้านโดยที่เพื่อนๆไม่ต้องเดินทางไปเกาหลีหรือไปร้านอาหารเกาหลีแถวย่านสุขุมวิทและทองหล่อแต่อย่างใด ซึ่งวัตถุดิบประกอบไปด้วยจาจังเมียนแบบกึ่งสำเร็จรูป แครอท เห็ดชิเมจิ หน่อไม้ฝรั่ง ไข่ไก่ และเครื่องปรุงรสเพิ่มเติมคือ น้ำมันงา ซอสถั่วเหลืองน้ำตาลและเหล้าจีน ส่วนเครื่องเคียงที่จะนำมาทานด้วยกันคือกิมจิและซุปมิโซะกึ่งสำเร็จรูป

วิธีการทำ
  1. นำจาจังเมียนแบบสำเร็จรูปมาต้มและลวกในน้ำร้อนจนเส้นสุกและพักไว้
  2. นำแครอท เห็ดชิเมจิ หน่อไม้ฝรั่ง มาหั่นในขนาดพอดีคำและนำลวกน้ำร้อนให้ผักพอสุกและพักไว้
  3. นำไข่ไก่มาทำเป็นไข่เจียวแล้วนำมาหั่นฝอยแล้วพักไว้
  4. ทำน้ำราดโดยการใช้เครื่องปรุงสำเร็จรูปที่ได้มาพร้อมกับจาจังเมียนสำเร็จรูป โดยการตั้งกระทะให้ร้อนและใส่น้ำมันงาลงไปนำผักที่ลวกพักทิ้งไว้ลงไปผัดกับผงซอสสำเร็จรูปและเพิ่มรสชาดด้วยซอสถั่วเหลือง น้ำตาลตามใจชอบและเติมเหล้าจีนเพื่อเพิ่มความหอมให้มีกลิ่นอายสไตล์อาหารจีนตามต้นกำเนิดที่มาของจาจังเมียนหลังจากนั้นนำไปราดบนเส้นหมี่ที่เตรียมไว้พร้อมโรยหน้าด้วยไข่หั่นฝอยที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้
  5. เสิร์ฟจาจังเมียนพร้อมกับเครื่องเคียงคือกิมจิและซุปมิโซะ

 

 
 
ส่วนผสมในการทำจาจังเมียน

 

 
 
จาจังเมียนพร้อมเสิร์ฟ

 
 
     วิธีรับประทานคนน้ำซอสที่ราดหน้าไว้ให้เข้ากับเส้นหมี่...แค่นี้ก็เป็นจาจางเมียนที่สามามารถทำทานได้เองที่บ้าน ยังไงถ้าเพื่อนๆมีโอกาสก็ลองไปทำทานดูนะคะ และเพิ่มอรรถรสในการทานให้อร่อยยิ่งขึ้นก็ทานไประหว่างการดูซี่รี่เกาหลีหรือทำให้คนรักทานในโอกาสพิเศษนะคะ

 
 

 

 

 
ไอคอน มินิ   ไอคอน มินิ   ไอคอน มินิ   ไอคอน มินิ   ไอคอน มินิ

 

 

 

 

วัดมหาธาต ตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ พงศาวดารบางฉบับ กล่าวว่าวัดนี้ สร้างในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาต มาบรรจุไว้ใต้ฐานพระปรางค ์ประธานของวัดเมื่อพ.ศ.1927พระปรางค์วัดมหาธาตุถือเป็นปรางค์ที่สร้างในระยะ แรก ของสมัยอยุธยาซึ่งได้รับอิทธิพลของปรางค์ขอมปนอยู่ ชั้นล่างก่อสร้างด้วย ศิลาแลงแต่ที่เสริมใหม่ ตอนบน เป็นอิฐถือปูน สมเด็จพระเจ้าปราสาททองได้ทรงปฏิสังขรณ์พระปรางค์ใหมโดยเสริมให้สูงกว่าเดิมแต่ขณะนี้ ยอด พังลงมาเหลือเพียงชั้นมุขเท่านั้นจึงเป็นที่น่าเสียดายเพราะมีหลักฐานว่าเป็นปรางค์ ที่มีขนาดใหญ่มากและก่อสร้าง อย่างวิจิตรสวยงามมากเมื่อพ.ศ.249กรมศิลปากรได้ขุดแต่งพระปรางค์แห่งนี้ พบของโบราณหลายชิ้น ที่สำคัญ คือ ผอบศิลา ภายในมีสถูปซ้อนกัน 7ชั้น แบ่งออกเป็น ชิน เงินนาก ไม้ดำ ไม้จันทร์แดง แก้วโกเมน และทองคำ ชั้นในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุและเครื่องประดับอัน มีค่าปัจจุบันพระ บรมสารีริกธาตุนำไปประดิษฐาน ไว้ที่ี่ พิพิธภัณฑ์ สถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา



วัดมหาธาต หมายถึงวัดอันเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า สร้างขึ้นในสมัยขุนหลวงพะงั่ว เมื่อปีพ.ศ.1917แต่เข้าใจว่าการก่อสร้างเสร็จสิ้นในรัชสมัยพระราเมศวรจารีตของการสร้างพระเจดีย์ขนาดใหญ่ เอาไว้ในเมือง ซึ่งถือสมมุติว่าพระเจดีย์นั้นเป็นที่สถิตของพระบรมสารีริกธาตุ และวัดนั้นถือว่าเป็นวัดศักดิ์สิทธิ์ ทั้งมักจะมีชื่อว่า"วัดมหาธาตุ"หรือวัดพระศรีมหาธาตุหรือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุปรากฏโดยทั่วไปในทุกภูมิภาค  จารีตดังกล่าวนี้จะเริ่มในสมัยใดนั้นไม่ทราบได้ แต่หากจะพิจารณาเฉพาะอาณาจักรอยุธยาจะเห็นได้ว่าธรรมเนียมดังกล่าวเริ่มตั้งแต่สมัยแรกๆที่เดียววัดมหาธาตุจึงเป็นวัดที่สำคัญที่สุดวัดหนึ่งของอาณาจักรในฐานะที่เป็นตัวแทน ของพระพุทธเจ้า อีกทั้งหากจะพิจารณาดูสถานที่ตั้งก็จะเห็นว่าอยู่ใกล้ชิดกับพระบรมมหาราชวังเป็นอย่างยิ่ง
  ดังนั้นวัดนี้จึงเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช(ฝ่ายคามวาสี)มาตลอดจนสิ้นกรุงศรีอยุธยา(ส่วนพระสังฆราชฝ่าย อรัญวาสีนั้น ประทับอยู่ที่วัดใหญ่ชัยมงคล หรือ สำนักวัดป่าแก้ว)


ส่วนที่สองคืออาคารพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหลังใหญ่ 2 ชั้น สูงโปร่งทาสีขาวทั้งหลัง มีประตู หน้าต่าง แบบบ้านสมัยเก่าทาสีฟ้าดูสดใส ภายในแบ่งเป็นสองชั้น เมื่อก้าวเข้าไปสู่ตัวพิพิธภัณฑ์ด้านใน ก็จะพบ กับสิ่งของจัดแสดงไว้มากมาย อาจารย์เกริกได้ใช้เวลาร่วม 20 กว่าปีในการสะสม